ชีวประวัติ การศึกษาและอาชีพ ของ เวย์น ธีโบด์

เวย์น ธีโบด์ (Wayne Thiebaud) เกิดที่เมืองเมซา รัฐแอริโซนา ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน ค.ศ. 1920 ช่วงอายุหกปีครอบครัวของเขาต้องย้ายไปอยู่ที่ลองบีช รัฐแคลิฟอร์เนีย ทำให้ช่วงชีวิตวัยเด็กส่วนใหญ่ของธีโบด์จะอาศัยอยู่ที่ทางตอนใต้ของแคลิฟอร์เนีย ถึงแม้ว่ารากฐานครอบครัวจะอยู่ทางฝั่งตะวันตกเฉียงใต้ก็ตาม นอกจากนี้ธีโบด์ยังได้ใช้เวลาหลายปีอาศัยที่ฟาร์มปศุสัตว์ของคุณลุงในยูทาห์ (Utah) อีกด้วย จนกระทั่งช่วงปิดเทอมภาคฤดูร้อนหนึ่งในช่วงมัธยมศึกษาตอนปลาย เขาได้เข้าทำงานกับเดอะวอลต์ดิสนีย์สตูดิโอ (the Walt Disney Studios) เป็นช่วงเวลาสั้นๆในปี ค.ศ. 1936-1937[2] ในฐานะผู้วาดตัวการ์ตูนให้แลดูมีชีวิตชีวา กระนั้นช่วงปิดเทอมภาคฤดูร้อนถัดมาในปี ค.ศ. 1938 ธีโบด์ได้เข้าศึกษาที่โรงเรียนแฟรงค์วิกกินส์เทรด (Frank Wiggins Trade School) ในลอสแอนเจลิส (Los Angelis) เพื่อเรียนรู้การวาดภาพตามที่เขาได้ตั้งใจเอาไว้และเริ่มที่จะเรียนรู้การวาดภาพที่เกี่ยวกับการค้า

อย่างไรก็ตามอาชีพนักวาดการ์ตูนและนักออกแบบกราฟิกก็ต้องถูกขัดจังหวะโดยการผันตนเองไปรับใช้ชาติในสงครามโลกครั้งที่สอง (World War II) ในกองทัพทหารอากาศ แต่ด้วยทักษะด้านศิลปะทำให้เขาไม่ต้องเข้าร่วมรบใดๆ ระหว่างช่วงสงครามธีโบด์ได้แต่งงานกับแพทริเชีย เพทเทอร์สัน (Patricia Petterson) และมีลูกด้วยกันถึงสองคนคือ ทวิงกา ธีโบด์ (Twinka Thiebaud) และ มัลลารี แอน ธีโบด์ (Mallary Ann Thiebaud) ในปี ค.ศ. 1945 และ 1951[3] ตามลำดับ

หลังจากสงครามโลกครั้งที่สองยุติลง ธีโบด์หันกลับมายึดอาชีพเดิมและทำงานออกแบบให้กับบริษัทยาเร็กซอลล์ (Rexall Drugstore) ในลอสแอนเจลิส จนทำให้พบกับโรเบิร์ต มัลลารี (Robert Mallary) เพื่อนร่วมงาน ด้วยเหตุนี้ทำให้ธีโบด์เริ่มหันมาศึกษาวิจิตรศิลป์ (Fine Art) และเพิ่มพูนความรู้ให้แก่ตนเอง จนกระทั่งปี ค.ศ. 1949-1950 ธีโบด์เข้าศึกษาที่วิทยาลัยรัฐแซน โฮเซ่ (San Jose State College) (ปัจจุบันคือ San Jose State University) และย้ายไปที่วิทยาลัยรัฐแคลิฟอร์เนีย (California State College) (ปัจจุบันคือ California State University) ในปี ค.ศ. 1950-1953 จนจบระดับปริญญาโทและปริญญาเอก[4]

ธีโบด์ใช้เวลาทั้งหมดในช่วงทศวรรษที่ 50 ด้วยการเป็นครูสอนศิลปะที่วิทยาลัยแซคราเมนโตจูเนียร์ (Sacramento Junior College) (ปัจจุบันคือ Sacramento City College) และดำรงตำแหน่งหัวหน้าภาควิชาศิลปะ ในปี ค.ศ. 1954-1956 และ ปี ค.ศ. 1958-1960 อย่างไรก็ตามในช่วงปี ค.ศ. 1956-1957 ธีโบด์ได้ใช้ช่วงปีนี้ไปกับการหยุดพักผ่อนในนิวยอร์ก (New York) และได้ทำความรู้จักกับศิลปินชั้นแนวหน้าของอเมริกาในยุคนั้นไม่ว่าจะเป็น ศิลปินลัทธิสำแดงพลังอารมณ์แบบนามธรรม (Abstract Expressionism) วิลเลม เดอ คูนนิ่ง (Willem De Kooning) และ โรเบิร์ต เราส์เชนเบิร์ก (Robert Rauschenberg) กับแจสเปอร์ จอนส์ (Jesper Johns) ศิลปินในกระแสความเคลื่อนไหวป็อปอาร์ต (Pop Art) ซึ่งศิลปินเหล่านี้ก็เป็นตัวแปรที่สำคัญที่ส่งอิทธิพลให้กับธีโบด์เป็นอย่างมาก[5] จากความประทับใจในผลงานของศิลปินเหล่านั้น ธีโบด์ได้เริ่มหันมาวาดภาพบนผืนผ้าใบขนาดเล็กเกี่ยวกับภาพอาหารหรือขนาดต่างๆ ด้วยสีสันที่สดใสพร้อมกับการลงสีอย่างพิถีพิถัน ฉูดฉาด และให้ลักษณะเงาที่สมจริงจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นพาย ขนมเค้ก ลูกกวาด หรือไอศกรีมโคน ซึ่งงานเหล่านี้ก็มักจะถูกจัดวางอยู่ตามหน้าต่างร้านค้าต่างๆ ในขณะภาพหุ่นนิ่ง (Still Life) ธรรมดาทั่วไปมักจะถูกลงสีในขณะที่เฝ้าสังเกตสิ่งเหล่านั้น ธีโบด์กลับวาดภาพอาหารทั้งหมดจากความทรงจำและจินตนาการของเขาเอง

หลังจากที่เขากลับมาที่แคลิฟอร์เนีย ในช่วงทศวรรษที่ 50 ไม่มีหอศิลป์ใดเลยในแซคราเมนโตที่เขาจะสามารถจัดแสดงผลงานของตนเองได้ ธีโบด์จึงทำการจัดแสดงผลงานของเขาในทุกๆ ที่ที่เขาสามารถจะวางผลงานไว้ได้ ไม่ว่าจะเป็นในร้าค้า ร้านอาหาร หรือแม้แต่ในโรงภาพยนตร์ จนกระทั่งเขาพบหอศิลป์ในแซคราเมนโตซึ่งปัจจุบันเป็นที่รู้จักกันในนาม อาร์ตติส คอนเท็มโพรารี่ แกเลอรี่ (Artists Contemporary Gallery) และ พอนด์ ฟาร์ม (Pond Farm)

ในปี ค.ศ. 1958 ธีโบด์ได้อย่าร้างกับภรรยาของเขา และลูกสาวของเขา ทวิงกา ก็ได้กลายมาเป็นนางแบบให้แก่ศิลปินชื่อดัง นักเขียนและจิตรกร กระนั้นธีโบด์ก็ได้แต่งงานอีกครั้งหนึ่งกับผู้ผลิตภาพยนตร์สาว เบ็ตตี้ จีน แครร์ (Betty Jean Carr) และรับลูกชายของเธอ แมธทิว (Matthew) มาเลี้ยงซึ่งในภายหลังก็ได้กลายมาเป็นศิลปินเช่นเดียวกัน ต่อมาทั้งสองก็ได้มีลูกอีกหนึ่งคนคือ พอล ธีโบด์ (Paul Thiebaud) นักซื้อขายงานศิลปะ และผู้ดูแลหอศิลป์

จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1961 หลายสิ่งกลับเปลี่ยนแปลงไป เขาได้พบกับ อัลลัน สโตน นักซื้อขายงานศิลปะในนิวยอร์ก และภายหลังก็ได้กลายมาเป็นตัวแทนที่ผูกขาดในการซื้อขายงานศิลปะของธีโบด์ ยิ่งไปกว่านั้นทั้งสองก็กลายเป็นเพื่อนที่สนิทสนมกันอีกด้วย ในปี ค.ศ. 1962 เขาก็ได้จัดแสดงผลงานเป็นครั้งแรกใน อัลลัน สโตน แกเลอรี่ (Allan Stone Gallery) ซึ่งภายในงานผลงานของเขาก็ถูกจัดแสดงรวมไว้กับงานของรอย ลิคเท็นสไตล์ (Roy Lichtenstein), จิม ไดน์ (Jim Dine) และแอนดี้ วอร์ฮอล (Andy Warhol) ทำให้ธีโบด์นั้นขึ้นมาเป็นที่รู้จักในแวดวงศิลปะ[6] และเวลาถัดมาในปีเดียวกัน ซิดนีย์ แจนิส แกเลอรี่ (Sidney Janis Gallery) ก็ได้จัดนิทรรศการแสดงผลงานในชื่อ International Exhibition of the New Realists ซึ่งเช่นเดียวกันผลงานของธีโบด์ก็ถูกนำไปรวมกับผลงานของวอร์ฮอล ลิคเท็นสไตล์และ เจมส์ โรเซ็นควิสท์ (James Rosenquist) ซึ่งนิทรรศการจัดแสดงผลงานครั้งนี้ก็ทำให้ศิลปะในกระแสความเคลื่อนไหวป็อปอาร์ต กลายเป็นสิ่งที่โดดเด่นขึ้นมาในช่วงทรรศวรรษที่ 60 กลางทศวรรษที่ 60 ธีโบด์เริ่มหันมาลงมือสร้างงานภาพพิมพ์อย่างจริงจังเช่นเดียวเดียวกับงานจิตรกรรมในครั้งอดีต

ในช่วงทศวรรษที่ 70 เขาหันกลับมาสานต่อการสร้างงานจากการเฝ้าสังเกตสิ่งของในชีวิตประจำวันเช่นเดิม ไม่ว่าจะเป็นรองเท้าหรือเครื่องสำอาง โดยงานจิตรกรรมส่วนใหญ่ของเขามักจะเป็นภาพภูมิทัศน์ของซานฟรานซิสโก เป็นเวลาตลอด 20 ปีที่เขาได้สร้างงานเหล่านี้ด้วยรายละเอียดที่สมจริงเพื่อค้นหาความสวยงามในความทรงจำของฉากที่เกิดขึ้นเป็นประจำทุกวัน

จนมาถึงช่วงทศวรรษที่ 80 เป็นต้นมา ธีโบด์ได้รับเกียรติยศและชื่อเสียงจากผลงานของตนเองเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งรางวัล National Medal of Arts ที่ให้สำหรับศิลปินที่โดดเด่นในสหรัฐอเมริกา โดยประธานาธิบดีวิลเลียม เจฟเฟอร์สัน คลินตัน (William J. Clinton) หรือที่รู้จักกันในนาม บิล คลินตัน (Bill Clinton) ในปี ค.ศ. 1994[7] และในปี ค.ศ. 2001 ก็ได้มีนิทรรศการรำลึกถึงผลงานของธีโบด์ที่พิพิธภัณฑ์วิทนีย์ (Whitney Museum) ในนิวยอร์กเพื่อสรรเสริญผลงานของเขา หลังจากนั้นในปี ค.ศ. 2006 เพื่อนสนิทและตัวแทนผู้ซื้อขายผลงานศิลปะของธีโบด์ อัลลัน สโตนก็ได้เสียชีวิตลง และตำแหน่งตัวแทนผู้ซื้อขายผลงานศิลปะของเขาก็กลายมาเป็นของพอล ลูกชายของเขาจนกระทั่งพอลเสียชีวิตลงในปี ค.ศ. 2009

ในปี 2010 ชื่อของเขาก็ถูกบันทึกลงในหอเกียรติยศแคลิฟอร์เนีย (The California Hall of Fame) ที่พิพิธภัณฑ์แคลิฟอร์เนีย (The California Museum) อย่างไรก็ตามในปัจจุบัน ธีโบด์ได้เกษียณจากงานสอนศิลปะเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลายทศวรรษที่เขาได้อุทิศไปแก่การสอนได้กลายเป็นอิทธิพลหลักที่สำคัญแก่ศิลปินและศิลปะอเมริกา นักเรียนจำนวนมากของเขาได้เรียนรู้ถึงความแตกต่างในฐานะศิลปินและอาชีพศิลปิน ในช่วงอายุ 90 ปีของธีโบด์ เขายังคงวาดภาพต่างๆ อยู่ ผลงานขนาดใหญ่ที่แสนล้ำค่าของเขายังคงสร้างความประทับใจให้แก่ผู้ชมทั่วไปอยู่เสมอในมุมมองที่มีเอกลักษณ์ของความสวยงามและมนต์เสน่ห์ของสิ่งของในชีวิตประจำวัน